0 2591 9992 กด 4
ccpe@pharmacycouncil.org
หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข้อบังคับ ประกาศ และคู่มือ
การประชุมวิชาการ
บทความวิชาการ
ขั้นตอนและคำขอ
ตรวจสอบหน่วยกิต
คำถามที่พบบ่อย
ติดต่อเรา
ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องฯ จะส่งข้อมูลแจ้งเตือนสมาชิก ผ่านช่องทาง sms และ email ในวันที่ 19 ธ.ค. 2567
บทความวิชาการ
การใช้ยากันชักในสตรีมีครรภ์
ชื่อบทความ
การใช้ยากันชักในสตรีมีครรภ์
ผู้เขียนบทความ
ภก.ชัชนินทร์ อจลานนท์
สถาบันหลัก
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
รหัสกิจกรรม
1005-1-000-002-07-2567
ผู้ผลิตบทความ
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
การเผยแพร่บทความ
ผู้ประกอบวิชาชีพทุกคน
วันที่ได้รับการรับรอง
28 พ.ย. 2567
วันที่หมดอายุ
27 พ.ย. 2568
หน่วยกิตการศึกษาต่อเนื่อง
2.5 หน่วยกิต
บทคัดย่อ
โรคลมชักเป็นโรคทางระบบประสาทชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยที่สุดในสตรีมีครรภ์ โดยมีอุบัติการณ์อยู่ที่ร้อยละ 0.5-1 ของกลุ่มประชากรสตรีมีครรภ์ทั้งหมด(1) จากข้อมูลการสำรวจความชุกของผู้ป่วยโรคลมชักที่ตั้งครรภ์ของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ปี ค.ศ. 2016 พบได้ถึงร้อยละ 0.49(2) ส่วนในต่างประเทศมีข้อมูลจากสหราชอาณาจักรพบว่าแต่ละปีมีทารกกว่า 2,500 รายที่เกิดจากมารดาที่ป่วยเป็นโรคลมชัก(3) ทั้งนี้โรคลมชักอาจส่งผลต่อการเพิ่มโอกาสเสียชีวิตของสตรีมีครรภ์ที่ป่วยเป็นโรคนี้ได้อย่างมาก โดยมีข้อมูลแสดงอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยกลุ่มนี้สูงถึง 10 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคลมชัก(4) และจากรายงานสถิติของ Confidential Enquiries into Maternal Deaths and Morbidity (MBRRACE-UK) ของประเทศเดียวกันนี้ ในปี ค.ศ. 2014 พบว่ามารดาจำนวนทั้งหมด 14 รายที่เสียชีวิตระหว่างตั้งครรภ์ มีถึง 12 รายที่ได้ถูกระบุสาเหตุของการเสียชีวิตว่ามาจากโรคลมชักอันเป็นการเสียชีวิตอย่างเฉียบพลันที่ไม่คาดคิด (SUDEP หรือ sudden unexpected death in epilepsy) ซึ่งส่วนใหญ่มีปัจจัยเกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคลมชักได้ไม่ดี(5) นอกจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตัวโรคลมชักแล้วนั้น ยังมีปัญหาอีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคลมชักอีกเช่นกัน อย่างที่ทราบกันดีว่ายากันชักบางชนิด เช่น sodium valproate หรือ carbamazepine นั้นมีผลข้างเคียงต่อทารกในครรภ์ โดยสามารถทำให้เกิดภาวะทารกวิรูปได้ (major congenital malformation) หรืออาจส่งผลต่อการพัฒนาสติสัมปชัญญะของเด็กในระยะยาว(6) จากข้อมูลความเสี่ยงที่เกิดจากการรักษาดังกล่าว อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายเกิดความวิตกกังวลและหยุดการรักษาเองและทำให้อาการชักกลับมากำเริบซ้ำหรืออาจส่งผลต่อชีวิตของทั้งมารดาและทารกได้ ทั้งนี้เนื่องจากในปัจจุบันมียากันชักที่มีข้อมูลปลอดภัยสำหรับสตรีมีครรภ์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยากันชักรุ่นใหม่ เช่น lamotrigine, topiramate, zonisamide และ levetiracetam เป็นต้น ในฐานะเภสัชกรจึงควรมีบทบาทในการบูรณาการข้อมูลทางเภสัชวิทยาของยากันชักรุ่นใหม่ เภสัชพลศาสตร์ เภสัชจลนศาสตร์ของร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างตั้งครรภ์ ร่วมกับการศึกษาข้อมูลความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา เพื่อนำมาสนับสนุนการดูแลรักษาสตรีมีครรภ์ที่ป่วยเป็นโรคลมชักได้อย่างมั่นใจ โดยมุ่งเน้นให้เกิดความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตทั้งต่อมารดาและต่อทารกในระยะยาว
คำสำคัญ
ยากันชัก, สตรีมีครรภ์, ทารกวิรูป